วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทินครั้งที่ 5



วิชาการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
(science experiences Management for Early childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ. จินตนา  สุขสำราญ
วัน-เดือน-ปี 19-08-2558
เรียนครั้งที่  5  เวลาเรียน 13.30.- 17.30 น.


ความรู้  ( Knowledge )

การทำงานของสมอง
          
           สมองคือระบบประสาททำหน้าที่ควบคุมและ สั่งการเคลื่อนไหว แสดงพฤติกรรม การรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึกและรักษาสมดุลย์ในร่างกาย มีหน้าที่ดูแลปกป้องเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณ ไฟฟ้า การทำงานของสมองมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้าทำหน้าที่เก็บข้อมูล ควบคุมการทำงานของร่างกาย กล้ามเนื้อ การรับสัมผัส ความจำ เชาวน์ปัญญา และการได้ยิน สมองส่วนกลาง ถูกสั่งการออกมาจากสมองส่วนหน้า ควบคุมการเคลื่อนไหวและการทำงานของประสาทตา และสมองส่วนท้าย ควบคุมการทำงานการเคลื่อนไหวของร่างกาย การทรงตัว และควบคุมการหายใจ การหมุนเวียนของเลือด

สมองแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ
สมองซีกซ้าย
สมองซีกขวา
        
สมองซีกขวาทำหน้าที่ได้ดีในด้านต่อไปนี้
- การเข้าใจภาษาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน 
- ความคิดสร้างสรรค์
- การมีอารมณ์ขัน
- การรับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
- ความคิดเชิงนามธรรม
- การใช้ภาษาท่าทางหรือภาษากาย

สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ได้ดีในด้านต่อไปนี้
- การแสดงออกทางด้านการพูด
- การรับรู้ด้านภาษา
- การใช้กล้ามเนื้อแขนขาและมือ
- ความระมัดระวัง 
การเรียนรู้โดยการจัดหมวดหมู่
การสร้างแนวคิดใหม่ๆ หรือความรู้ที่เกี่ยวกับแนวความคิด 
- การวิเคราะห์เกี่ยวกับเวลา
- การเรียนคณิตศาสตร์คำนวณ 


หลักการ/แนวคิดสู่การปฏิบัติการพัฒนาการเด็ก

1. กีเซล (Gesell)

หลักการ :
    - พัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอนเด็กควรพัฒนาไปตามธรรมชาติไม่ควรเร่งหรือบังคับ
    - การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวการใช้ภาษาการปรับตัวเข้ากับสังคมและบุคคลรอบข้าง

แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :
    - โครงสร้างของหลักสูตรยุทธนาการเด็ก คุณลักษณะที่พึงประสงค์และประสบการณ์สำคัญ
    - ไม่ควรเร่งสอนสิ่งที่ยากเกินพัฒนาการตามวัยของเด็ก
    - จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสเคลื่อนไหวกิจกรรมเดี่ยว และกิจกรรมกลุ่ม
    - จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟังได้พูด ท่องคำคล้องจองร้องเพลงฟังนิทาน

2. ฟรอยด์ (Freud)
หลักการ :
     - ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคลิกภาพของคนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอจะเกิดอาการชะงักพฤติกรรมถดถอยคับข้องใจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก

แนวคิดสู่การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก     - ครูเป็นแบบอย่างที่ดีทางการแสดงออก ท่าที วาจา
     - จัดกิจกรรมเป็นขั้นตอนจากง่ายไปยากจัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ

3. อิริคสัน ( Erikson )

หลักการ  :
      - ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด็กพอใจ ประสบผลสำเร็จเด็กจะมองโลกในแง่ดีมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น
      - ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีไม่พอใจจะมองโลกในแง่ร้ายขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่วางไว้วางใจผู้อื่น

แนวคิดสู่การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก :   
      - จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสประสบผลสำเร็จโดยจัดกิจกรรมที่เหมาะกับวัยไม่ยากและมีให้เลือกตามความสามารถหรือความสนใจ
      - จัดบรรยากาศในห้องเรียนให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อมครูและเพื่อนเพื่อน เช่น จัดบรรยากาศให้อบอุ่นมีความสบายใจและเด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

4. เพียเจต์ ( Piaget)

หลักการ :
      - พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กเกิดจากการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบรอบตัวเด็กมีการรับรู้จากสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและมีการปรับขยายประสบการณ์เดิมความคิดและความหมายมากขึ้น
      - พัฒนาการของเด็กปฐมวัย 0-6 ปี 
  1) ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหววัย 0 ถึง 2 ปี เด็กเรียนรู้ทุกอย่างทางประสาทสัมผัสทุกด้าน     2) ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการวัย 2 เดือน 6 ปี เริ่มเรียนภาษาพูดและภาษาท่าทางในการสื่อสาร ตนเองเป็นศูนย์กลางคิดหาเหตุผลไม่ได้จัดหมวดหมู่ได้ตามเกณฑ์ของต้น

แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :
     - จัดกิจกรรมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 กิจกรรมสำรวจทดลองกิจกรรมประกอบอาหารทัศนศึกษา
     - จัดให้เด็กฝึกฝนทักษะสังเกตจำแนกเปรียบเทียบ เช่น การเล่นเกมการศึกษาการเรียนรู้จากสื่อของจริงการสำรวจทดลอง
     - จัดให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัวเรียนรู้จักหน่วยตามความสนใจและเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมก่อน

5. ดิวอี้ ( Dewey)

หลักการ :
      - เด็กเรียนรู้โดยการกระทำ
      - การพัฒนาสติปัญญาของเด็กจะต้องฝึกให้เด็กคิดแบบวิทยาศาสตร์และมีระบบ

แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :   
      - จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จ พึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน เพื่อน ครู
      - จัดบรรยากาศในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครู และเพื่อนๆ

6. สกินเนอร์ (Skinner)

หลักการ :
      - ถ้าเด็กได้รับคำชมเชยและประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมเด็กจะสนใจที่จะทำต่อไป
      - เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างไม่มีใครเหมือนใคร

แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :    
      - ให้แรงเสริม เช่น ชมเชย ชื่นชม เมื่อเด็กทำกิจกรรมประสบผลสำเร็จ
      - ไม่นำเด็กมาเปรียบเทียบแข่งขันกัน

7. เปสตาลอสซี่ ( Pestalozzi)

หลักการ :
      - ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก  ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา
      - เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน ทั้งด้านความสนใจ ความต้องการ และระดับความสามารถในการเรียน
      - เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เรียนรู้ด้วยการท่องจำ
แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :    
      - จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม ให้ความรัก ให้เวลา และให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์

8. เฟรอเบล ( Froeble)

หลักการ :
       - ควรส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรี
    
 แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :    
      - จัดกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเสรี

9.เอลคายน์ ( Elkind )

หลักการ :
        - การเร่งเด็กให้เรียนรู้แต่เล็กเป็นอันตรายต่อเด็ก
        - เด็กควรมีโอกาสเล่นและเลือกิจกรรมการเล่นด้วยตนเอง
แนวคิดสู่การปฏิบัติพัฒนาการเด็ก :    
        - จัดบรรยากาศในห้องเรียนให้เด็กมีโอกาสเล่นและเลือกกิจกรรมการเล่นด้วยตนเอง




 ความหมายของวิทยาศาสตร์

        หมายถึง การศึกษาสืบค้นและจัดระบบความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโดยอาศัยกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วยวิธีการ ทักษะกระบวนการ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์อย่างมีระบบแบบเเผน มีขอบเขตโดยอาศัยการสังเกต การทดลองเพื่อค้นหาความเป็นจริงและทำให้ได้มาวึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป


แนวคิดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์

1. การเปลี่ยนแปลง
2. ความแตกต่าง
3. การปรับตัว
4. การพึ่งพาอาศัยกัน
5. ความสมดุล


การศึกษาวิธีการทางวิทยาศาสตร์

1. ขั้นกำหนดปัญหา
2. ขั้นตั้งค่าสมมติฐาน
3. ขั้นรวบรวมข้อมูล
4. ขั้นลงข้อสรุป


เจตคติทางวิทยาศาสตร์

1. ความอยากรู้อยากเห็น
2. ความเพียรพยายาม
3. ความมีเหตุผล
4. ความซื่อสัตย์
5. ความมีระเบียบและรอบคอบ
6. ความใจกว้าง
การเรียนรู้อย่างมีความสุข

การเรียนรู้จากการคิดและปฏิบัติจริง
การเรียนรู้แบบองคืรวมที่ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน


 การเรียนรู้จากการคิดและปฏิบัติจริง
การเรียนรู้จากการคิดและปฏิบัติจริง
เรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
พัฒนาทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การจำแนก การสรุปความคิดรวบยอด การแก้ปัยหา การคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
กิจกรรมโครงการ กิจกรรมประจำวัน การเล่น กิจกรรมการทดลอง กิจกรรมการศึกษานอกสถานที่ กิจวัตรประจำวัน ฯลฯ

การเรียนรู้แบบองค์รวม
กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับประสบการณ์ที่ได้รับ
ครูผู้สอนหรือผู้ดูแล เด็กควรหลอมรวมหรือเชื่อมโยงความรู้ประสบการณ์
ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านทั้งทางร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ประสบการณ์ต่างๆ สัมพันธ์กันในลักษณะบูรณาการ

สรุป หลักการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
พัฒนาเด็กให้ครบทุกพัฒนาการ เน้นให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข กิจกรรมที่จัดต้องมีความสมดุล ยึดเด็กเป็นสำคัญ และต้องประสานสัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชน




กิจกรรมนำเสนอบทความ

เลขที่ 1 นำเสนอบทความ เรื่อง " วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย "
 เลขที่ 2 นำเสนอบทความ เรื่อง " สอนลูกเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติ "
เลขที่ 3 นำเสนอบทความ เรื่อง " แนวทางการสอนคิด เติมวิทย์ให้เด็กอนุบาล "


ทักษะ (Skill)

ทักษะการตอบคำถาม
ทักษะการคิดวิเคราะห์
ทักษะการนำเสนองาน
ทักษะการใช้ความคิดรวบยอด


การประยุกต์ใช้ ( Application)

         นำความรู้ที่ได้ไปใช้เป็นหลักการการจัดการเรียนการสอน โดยจัดให้สอดคล้องกับความต้องการและพัฒนาการของเด็ก


เทคนิคการสอน (Technical Education )

กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด
สอนให้ผู้เรียนนำเสนองานให้ถูกต้อง

ประเมิน (Evaluation )

ตนเอง (Self ): ตั้งใจเรียน  ง่วงนอนนิกหน่อย
เพื่อน (Friend) :   ช่วยกันตอบคำถาม  เล่นบ้างเป็นบางจังหวะ
อาจารย์ (Teacher) :  เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพ  ใช้คำถามในการกระตุ้นผู้เรียน 












บันทึกอนุทินครั้งที่ 4



                               
วิชาการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
(science experiences Management for Early childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ. จินตนา  สุขสำราญ
วัน-เดือน-ปี 19-08-2558
เรียนครั้งที่  4  เวลาเรียน 13.30.- 17.30 น.




ความรู้ (Knowledge ) 

กิจกรรม : ประดิษฐ์ของเล่นจากกระดาษให้เกี่ยวข้องกับ

วิทยาศาสตร์

     อาจารย์แจกกระดาษ 1 แผ่น ให้นักศึกษาประดิษฐ์ของเล่นเป็นอะไร

ก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
 

จากนั้นให้นำเสนอเป็นรายบุคคล






จากกระดาษ 1 แผ่น นำมาพับโดยการพับเป็นรูปดาว ดังภาพ







เมื่อพับเสร็จก็นำ หลอด  หรือ ไม่ มาเสียบ กับดาวแล้วนำไฟส่องตรงดาวก็จะเกิดเป็นเงา





-นำเสนออาจารย์ว่าของที่ทำเป็นวิทยาศาสตร์ไรในเรื่องอะไร








สรุป 

               จากกิจกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ของเล่นดังกล่าวจะทำให้เด็กได้เรียนรู้เรื่อง

วิทยาศาสตร์ใน

เรื่องของ " เงา " คือ เด็กได้เรียนรู้ว่าเงาเกิดจากแสงที่ส่องไปยังวัตถุแต่แสงไม่สามารถ

ผ่านวัตถุไปได้นั้น

ก็จะเกิดเป็นเงาซึ่งแสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง


             เงาคืออะไรเงา (ภาษาอังกฤษคือ Shadow) คือ อาณาเขตหลังวัตถุที่แสงฉาย

ไปกระทบวัตถุนั้น

 ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้หรือเดินทางไปถึงเพียงบางส่วน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1.         เงามืด เป็นอาณาเขตหลังวัตถุ แสงกระทบวัตถุแล้ว จะไปไม่ถึงบริเวณนั้นเลย

2.         เงามัว เป็นอาณาเขตหลังวัตถุ แสงกระทบวัตถุแล้ว จะไปถึงเพียงบางส่วนที่บริเวณนั้น





ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็ก

ทฤษฏีของเพียเจต์ เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง
 5

-
 ขบวนการปรับเข้าสู่โครงสร้าง (Assimilation) หมายถึง การที่เด็กนำเอาความรู้ใหม่ 

เข้าไปผสมผสาน

กลมกลืนกับความรู้เดิมที่มีอยู่

- การจัดประขยายโครงสร้าง (Accommodation)  หมายถึง การนำความรู้ใหม่ที่ได้รับไปปรับปรุงความคิดให็เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม


John Dewy ได้กล่าวว่าเด็กจะเรียนรู้โดยการลงมือทำ หรือ  "Learning by Doing "

ทักษะ ( Skill)

-
 ทักษะการตอบคำถาม

-
 ทักษะการคิดวิเคราะห์

-
 ทักษะการนำเสนองาน

-
 ทักษะการใช้ความคิดรวบยอด

การประยุกต์ใช้ (
 Application)

นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการประดิษฐ์ของเล่นในหน่วยวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยและ

ใช้ในการสอน

แบบบูรณาการเพื่อให้เด็กได้รับความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์และด้านอื่นๆ


เทคนิคการสอน (
Technical Education)

- เทคนิคการใช้คำถาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด

-
 เทคนิค  ให้นักศึกษาลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง

-
 สอนเริ่มจากหลักการและนำมาสรุป


การประเมิน (
Evaluation)

ตนเอง (
 Self) : ตั้งใจเรียน มองเห็นภาพรวมในเนื้อหาชัดเจนขึ้น ปฏิบัติตามคำสั่งของ

อาจารย์ แต่เมือ

เจอคำถามที่กดดันจะไม่กล้าตอบพราะกลัวผิด

เพื่อน (
Friend) :  ตั้งใจเรียน ช่วยกันตอบคำถาม มีการช่วยเหลือกันระหว่างอธิายนำ

เสนองานกับอาจารย์

อาจารย์ (
Teacher) : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพ บรรยายเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่าย

ขึ้น
 มีการใช้น้ำเสียง

ที่สูงต่ำกระตุ้นนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา มีการถามจี้เวลานักศึกษายังตอบไม่ตรงคำถาม


















บันทึกอนุทินครั้งที่








วิชาการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
(science experiences Management for Early childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ. จินตนา  สุขสำราญ
วัน-เดือน-ปี 19-08-2558
เรียนครั้งที่  2  เวลาเรียน 13.30.- 17.30 น.




**ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากอาจารย์ให้เข้ารวมงานศึกษาวิชาการ **










    ภาคเช้าเข้ารวมอบรม

 เรื่อง ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21  (Partnership for 21st Century Skills)

 โดย  ดร. อภิภู  สิทธิภูมิมงคล   












  ศตวรรษที่ 21 สถานการณ์โลกมีความแตกต่างจากศตวรรษที่ 20 และ 19 ระบบการศึกษา ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะความเป็นจริง

         ในประเทศสหรัฐอเมริกาแนวคิดเรื่อง "ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21" ได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยภาคส่วนที่เกิดจากวงการนอกการศึกษา ประกอบด้วย บริษัทเอกชนชั้นนำขนาดใหญ่ เช่น บริษัทแอปเปิ้ล บริษัทไมโครซอฟ บริษัทวอล์ดิสนีย์ องค์กรวิชาชีพระดับประเทศ และสำนักงานด้านการศึกษาของรัฐ รวมตัวและก่อตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills) หรือเรียกย่อๆว่า เครือข่าย P21
         หน่วยงานเหล่านี้มีความกังวลและเห็นความจำเป็นที่เยาวชนจะต้องมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกแห่งศตวรรษที่ 21      ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 จึงได้พัฒนาวิสัยทัศน์และกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21ขึ้น สามารถสรุปทักษะสำคัญอย่างย่อๆ ที่เด็กและเยาวชนควรมีได้ว่า ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม หรือ 3R  และ 4Cซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้
 3 R ได้แก่ Reading (การอ่าน)การเขียน(Writing) และ คณิตศาสตร์ (Arithmetic) และ
 4 C (Critical Thinking - การคิดวิเคราะห์, Communication- การสื่อสาร Collaboration-การร่วมมือ และ Creativity-ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงทักษะชีวิตและอาชีพ และทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี และการบริหารจัดการด้านการศึกษาแบบใหม่ 





ทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21


  ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21  ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องสำคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่าง

ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C
    3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้)และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น)
    7C ได้แก่
        Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
        Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
        Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
        Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
        Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
        Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
        Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)











ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่21 เป็นเรื่องสำคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึงครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในศตวรรษที่21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ความสามารถและทักษะจำเป็นซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ 

              ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กล่าวถึงทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้สาระวิชาก็มีความสำคัญแต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์โดยครูช่วยแนะนำและช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคน
สามารถประเมิน
ความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ 

                    สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย
            1.  ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก
            2.  ศิลปะ
            3.  คณิตศาสตร์
            4.  การปกครองและหน้าที่พลเมือง
            5.  เศรษฐศาสตร์
            6.  วิทยาศาสตร์
            7.  ภูมิศาสตร์
            8.  ประวัติศาสตร์
                   โดยวิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ
(Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก ดังนี้

                    ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

          ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness)
          ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics,
          Business and Entrepreneurial Literacy)
          ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)
          ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
          ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)

                     ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่
                              ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม
                              การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
                              การสื่อสารและการร่วมมือ

                    ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมายผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลายโดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้
               ความรู้ด้านสารสนเทศ
               ความรู้เกี่ยวกับสื่อ
               ความรู้ด้านเทคโนโลยี
     ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ
ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จนักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญดังต่อไปนี้

                ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
                การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
                ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม
                การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability)
                ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility) 




กิจกรรมภาคบ่ายเข้าชมนิทรรศการในงานศึกษาวิชาการ





















































































ทักษะ (Skill)

- การฟัง
- การคิดวิเคราะห์


การประยุกต์ใช้ (Application)
     
       นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสม
การประเมิน (Evaluation )

ตนเอง :  ฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็รู้สึกง่วงในบ้างจังหวะ แต่ก็พยายามไม่หลับตอนบ่ายก็เข้ารวมกิจกรรมที่จัดในงานอย่างสนุกสนาน